รัชนีกร มณีโชติรัตน์
เจ้าหน้าที่อาวุโส ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ สสวท. e-mail: rmane@ipst.ac.th
การเขียนบรรณานุกรม หรือเอกสารอ้างอิง เป็นส่วนสำคัญที่สำคัญของการเขียนงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางวิชาการ หนังสือ ตำรา รายงานการวิจัย ซึ่งจะปรากฏอยู่ท้ายเล่มของผลงานที่เป็นแหล่งรวบรวบรายการข้อมูลที่งานเขียนนั้น ๆ ได้อ้างอิงถึง อีกทั้งยังเป็นส่วนที่จะเชื่อมโยงไปยังต้นทางของแหล่งข้อมูลที่ให้ผู้อ่านสามารถค้นหาและสืบค้นเพิ่มเติมได้
โดยส่วนใหญ่แล้วการเขียนบรรณานุกรม หรือเอกสารอ้างอิง จะนิยมใช้มาตรฐานการเขียนที่ชื่อว่า APA หรือ (American Psychological Association) พัฒนามาจากนักสังคมศาสตร์และนักพฤติกรรมศาสตร์มากว่า 80 ปี เพื่อเป็นมาตรฐาน ในการเขียนอย่างเป็นระบบสำหรับการทำวิจัย รายงานการวิจัย การทบทวนวรรณกรรม บทความและกรณีศึกษา สำหรับนักเขียนและนักศึกษานำมาใช้ในวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย โดยในปัจจุบัน APA ได้พัฒนามาถึงเวอร์ชันที่ 7 ที่มีการกำหนดมาตราฐานใหม่โดยมีการเพิ่มเติมการอ้างอิงสารสนเทศให้เข้ากับยุคสมัย คือ สื่อสังคมออนไลน์ สำหรับใครที่ต้องการศึกษาหรือค้นหาตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรม
บรรณานุกรม (Bibliography) คือ
– เป็นหนังสืออ้างอิงที่ชี้แหล่งข้อมูล เป็นหนังสืออ้างอิงประเภทที่บอกให้ทราบว่าจะหาสารสนเทศจากแหล่งใด และจะไม่มีสารสนเทศที่ต้องการทันที แต่จะบอกแหล่งที่ให้บริการว่าสามารถสืบค้นสารสนเทศได้จากที่ใด
– หนังสือที่รวบรวมรายชื่อหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ เข้าด้วยกัน โดยเรียงตามลำดับอักษรตัวแรกของผู้แต่ง ถ้าเป็นชาวต่างประเทศจัดเรียงตามลำดับอักษรตัวแรกของนามสกุล รายละเอียดของแต่ละชื่อเรื่อง ประกอบด้วย ชื่อและนามสกุลของผู้แต่ง ชื่อเรื่อง สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ แต่ละรายชื่ออาจมีบรรณานิทัศน์สังเขปประกอบด้วยก็ได้ (สุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์, 2535: 55)
– เป็นหนังสืออ้างอิงที่ให้ความรู้เกี่ยวกับรายชื่อหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ทั้งในรูปแบบของสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ บรรณานุกรมของแต่ละรายการส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ เมืองที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ อาจจะมีจำนวนหน้าและราคา หรือบางครั้งอาจจะมีบรรณนิทัศน์ประกอบด้วย
ความสำคัญของบรรณานุกรม
เนื่องจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางวิชาการต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว มีผลให้เกิดการผลิตสารนิเทศในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ตลอดจนสื่อในลักษณะอื่น ๆ เป็นจำนวนมากมายมหาศาลตามไปด้วย ดังนั้นบรรณารักษ์จึงต้องมีเครื่องติดตามความเคลื่อนไหวของสื่อสารนิเทศ เพื่อช่วยในการคัดเลือกสิ่งพิมพ์และสื่ออื่น ๆอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยในงานบริการผู้อ่านให้สามารถค้นคว้าหาสารนิเทศประกอบการศึกษา วิจัย และการหาทรัพยากรสารนิเทศได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน เครื่องมือดังกล่าวข้างต้นก็คือบรรณานุกรม ซึ่งมีความสำคัญต่อหน่วยงานสารนิเทศทุกประเภทในฐานะเป็นคู่มือจัดหาและคู่มือบริการที่ห้องสมุดทุกแห่งและหน่วยงานสารนิเทศทุกหน่วยจะต้องมีไว้เพื่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพของบรรณารักษ์ ตลอดจนนักเอกสารสารสนเทศทุกคนจะขาดไม่ได้ บรรณานุกรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบรรณารักษ์ในแง่ทำหน้าที่เป็นคล้ายแผนที่นำทางของบรรณารักษ์ในการติดตามความเคลื่อนไหวในความก้าวหน้าทางวิชาการแขนงต่างๆ พร้อมทั้งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อทรัพยากรสารนิเทศทุกประเภท
บรรณานุกรม เป็นหนังสืออ้างอิงที่มีประโยชน์ ดังที่พิมลพรรณ ประเสริฐวงษ์ แรพเพอร์ ได้เสนอแนะไว้ 3 ประการ คือ
1) เพื่อช่วยในการหาหนังสือเล่มที่ต้องการ (Locate) บรรณานุกรมจะเป็นเครื่องช่วยบอกให้ทราบว่าจะหาซื้อหนังสือเล่มที่ต้องการนั้นได้จากสำนักพิมพ์ใด หรือจะยืมได้จากหอสมุด แห่งใด (ในกรณีที่เป็นบรรณานุกรมที่ระบุแหล่งที่อยู่ของหนังสือเล่มหนึ่งๆ เช่น Nation Union Catalog) หรือช่วยให้ทราบว่าหนังสือหรือวัสดุที่เกี่ยวข้องในแขนงวิชาที่เราต้องการมีหรือไม่ กว้างขวางแค่ใด มีใครเป็นผู้แต่ง ผู้พิมพ์ พิมพ์เมื่อใด ราคาเท่าไหร่
2) เพื่อช่วยในการพิสูจน์ตรวจสอบ (Identify และ Verify) ว่า รายละเอียดของหนังสือเล่ม หนึ่ง ๆ ซึ่งประกอบด้วยชื่อเรื่อง ชื่อผู้เขียน ปีพิมพ์ สถานที่พิมพ์ จำนวนหน้า ภาพประกอบและข้อเท็จจริงอื่นๆ เป็นไปตามนั้นจริง ๆ หรือทำให้ทราบแน่ชัดว่าบัดนี้ได้มีการพิมพ์หนังสือชื่อนั้น ๆ ขึ้นแล้วโดยสำนักพิมพ์หนึ่ง
3) เพื่อช่วยในการเลือกหนังสือ (Selection) สำหรับบรรณารักษ์ บรรณานุกรมจะเป็นเครื่องมือช่วยในการคัดเลือกหนังสือที่ดีมีคุณค่าเหมาะสมกับผู้ใช้ห้องสมุด สำหรับผู้ใช้ห้องสมุดทั่วๆไป บรรณานุกรมจะเป็นเครื่องช่วยให้ผู้อ่านได้เลือกหนังสือที่ดี หรือเลือกหนังสือที่เกี่ยวข้องกับแขนงวิชาที่ผู้อ่านต้องการใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า ทั้งนี้เพราะบรรณานุกรมโดยทั่วไปมักจะให้คำวิจารณ์หรือให้เนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนังสือหรือวัสดุที่ได้รวบรวมไว้อย่างย่อ ๆ ด้วย
วิธีใช้บรรณานุกรม
1) พิจารณาดูว่าเรื่องที่ต้องการเป็นบรรณานุกรมทั่วไปหรือเฉพาะวิชา
2) พิจารณาดูว่าข้อเท็จจริงที่ต้องการเป็นบรรณานุกรมลักษณะใด
2.1) เป็นบรรณานุกรมอย่างเดียว
2.2) เป็นบรรณานุกรมที่มีบรรณนิทัศน์สังเขป
2.3) เป็นบรรณานุกรมและมีคำวิจารณ์ประกอบ
3) เลือกใช้ประเภทบรรณานุกรมให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ต้องการ
บรรณานุกรมสามารถจำแนกในลักษณะต่างๆ ได้ 7 ประเภท คือ
1. บรรณานุกรมทั่วไป เป็นบรรณานุกรมที่รวบรวมรายชื่อหนังสือ หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ต่างๆ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่จำกัดว่าพิมพ์ในประเทศใด หรือภาษาใด
2. บรรณานุกรมแห่งชาติ เป็นบรรณานุกรมของหนังสือและสิ่งพิมพ์ ตลอดจนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ
3. บรรณานุกรมเพื่อการค้าหรือบรรณานุกรมของสำนักพิมพ์ เป็นบรรณานุกรมที่สำนักพิมพ์ บริษัทหรือร้านค้าจัดทำขึ้น เพื่อประโยชน์ในการขายหนังสือหรือสิ่งพิมพ์เหล่านั้น
4. บรรณานุกรมฉบับพิเศษ เป็นบรรณานุกรมที่จัดพิมพ์เฉพาะในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง หรือสิ่งพิมพ์ของนักเขียนคนใดคนหนึ่ง
5. บรรณานุกรมเลือกสรร เป็นบรรณานุกรมที่เลือกสรรแล้วว่าดีที่สุด
6. บรรณานุกรมเฉพาะวิชา เป็นบรรณานุกรมที่รวบรวมรายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เฉพาะสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งเท่านั้น
7. บรรณานุกรมของบรรณานุกรม คือ หนังสือบรรณานุกรมที่ให้รายชื่อหนังสือที่เป็นบรรณานุกรมที่มีประโยชน์ โดยมากจัดทำในแขนงวิชาใดวิชาหนึ่ง หรือจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อบุคคลในวงการอาชีพหนึ่ง
การทำบรรณานุกรมมีความสำคัญ
1. เพื่อแสดงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
2. เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่นำมาใช้
3. เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมในเรื่องที่สนใจได้
4. เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าของผลงานที่นำมาอ้างอิง และเป็นการแสดงถึงจริยธรรมของผู้เขียนผลงาน
5. ไม่เป็นการละเมินลิขสิทธิ์เจ้าของงาน
ผู้เขียนขอนำเสนอตัวอย่างการเขียนบรรณานุกรมบางส่วนดังนี้